5 ปัจจัยในการเลือกซื้อ บ้านให้ถูกใจ
อัพเดทล่าสุด: 12 มี.ค. 2025
0 ผู้เข้าชม
การปลูกสร้างบ้าน หรือ การเลือกซื้อบ้าน เป็นของตัวเองนั้น อาจไม่ยุ่งยากเท่ายุคสมัยก่อน เพราะปัจจุบันมีโครงการบ้านต่าง ๆ รวมถึงผู้รับเหมามืออาชีพหลากหลายเจ้าที่สามารถให้บริการรับสร้างบ้านได้ตรงตามแบบที่ต้องการ แต่เนื่องจากการเลือกซื้อบ้านเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ที่ไม่สามารถตัดสินใจได้จากความชอบหรืออารมณ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยิ่งถ้าหากเป็นบ้านหลังแรกสำหรับใครหลาย ๆ คน ก็ยิ่งต้องใส่ใจและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในการตัดสินใจเลือกซื้อบ้าน สาระอสังหา จึงนำ 5 ปัจจัยที่ต้องรู้ก่อน เลือกซื้อบ้าน เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยหรือครอบครัวได้มากที่สุด
___________________________________________
5 ปัจจัยในการเลือกซื้อบ้าน มีดังต่อไปนี้?
.
1. ทำเลบ้าน ที่ตั้งโครงการบ้าน
จากผลสำรวจพบกว่า ผู้คนส่วนใหญ่กว่า 83% เลือกทำเลเป็นปัจจัยหลักในการซื้อบ้าน รองลงมา 65% เป็นผู้คนที่ให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัย สุดท้ายคือกลุ่มคนจำนวน 62% ที่มองถึงความสำคัญด้านการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าใครจะมีความต้องการหรือมองปัจจัยใดเป็นอันดับแรก แต่การเลือกซื้อบ้านสักหลัง ถ้าหากสามารถเลือกทำเลที่มีทั้งความปลอดภัยและความสะดวกสบายต่อการใช้ชีวิตในคราเดียวกันได้นั้นก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี เช่น ทำเลที่ ใกล้แหล่งสาธารณูปโภคต่าง ๆ ใกล้โรงเรียนบุตรหลานและทางที่ดีควรใกล้ที่ทำงานด้วย
ดังนั้น ผู้ที่กำลังวางแผนซื้อบ้านก็ควรให้ความสำคัญกับหลาย ๆ ปัจจัย นำทำเลบ้านแต่ละหลังมาเปรียบเทียบเพื่อผลลัพธ์ในการเลือกซื้อบ้านที่เป็นไปอย่างที่คุณต้องการ
___________________________________________
2. ขนาดพื้นที่ใช้สอย
การเลือกซื้อบ้านแต่ละหลังก็ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่น้อยกว่าการคัดสรรทำเล คือ ขนาดของพื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่จำนวนห้องนอนที่มีเพียงพอตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมาชิกและช่วงอายุที่ต้องการความเป็นส่วนตัวของคนในครอบครัวหรือไม่ ทั้งยังมีอีกหลาย ๆ ส่วนที่ต้องพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นจำนวนห้องน้ำ พื้นที่สำหรับจอดรถยนต์ จากนั้นจึงพิจารณาส่วนกลางและพื้นที่อื่น ๆ ที่ควรมีเผื่อไว้ในกรณีที่ต้องการเลี้ยงสัตว์ ทำสวน ปลูกต้นไม้ด้วย
แต่ถ้าหากใครที่ไม่ชอบการปลูกต้นไม้ ก็อาจให้ความสำคัญกับพื้นที่ภายในบ้านเป็นอันดับแรก โดยจำนวนห้องและพื้นที่ต่าง ๆ ก็ควรมีความสัมพันธ์กับขนาดที่ดินและความกว้างของตัวบ้านอย่างพอดี ไม่กว้างจนเกินไปและไม่แคบจนทำให้รู้สึกอึดอัด
___________________________________________
3. ทิศทางการวางตัวบ้าน ทิศทางลม และทิศทางแสง
ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทย โดยปกติพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกและตกในทิศตะวันตก ดังนั้น ในช่วงเวลากลางวันทิศใต้และทิศตะวันตกจะเป็นทิศที่ได้รับแสงแดดเยอะ ทิศตะวันออกเป็นทิศที่รับแสงแดดช่วงเช้าส่งผลให้มีความร้อนน้อยกว่า ส่วนทิศเหนือจะได้รับแสงแดดน้อยที่สุด การกำหนดตำแหน่งของห้องจึงควรนำทิศทางของแสงมาพิจารณาเพื่อความเหมาะสม เช่น ทิศตะวันตกและทิศใต้ในช่วงเย็น-กลางคืนจะมีความร้อนสะสมสูง จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นห้องนอน แต่ควรใช้เป็นห้องน้ำ ห้องเก็บของหรือโรงจอดรถยนต์แทน
ตำแหน่งของทิศทางลมที่พัดประจำมีอยู่สองทิศ คือ ลมมรสุมช่วงเดือนกุมภาพันธ์-กันยายนที่พัดมาจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนลมมรสุมเดือนตุลมคม-มกราคาจะพัดจากทิศจะวันออกเฉียงเหนือและทิศเหนือ ซึ่งเจ้าของบ้านสามารถพิจารณาเลือกซื้อบ้านที่ออกแบบให้มีช่องลมที่ผนังฝั่งทิศใต้และเหนือ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นช่องทางรับลมธรรมชาติให้สามารถพัดผ่านเข้ามาระบายอากาศภายในตัวบ้านได้นั่นเอง
___________________________________________
4. เทคโนโลยีบ้านประหยัดพลังงาน
บ้านที่ถูกออกแบบมาให้มีความทันสมัยก็ควรเลือกใช้อุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดพลังงานด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นการคำนึงถึงราคาพลังงานในอนาคตที่อาจจะสูงขึ้น และยังช่วยให้เจ้าของบ้านได้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงอีกด้วย ซึ่งวิธีประหยัดพลังงานนั้นแนะนำให้พิจารณาในส่วนของอุปกรณ์ประหยัดไฟ เลือกใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน เช่น หลอดไฟแอลอีดี (LED) และหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent) เป็นต้น
และถ้าหากใครที่ต้องการซื้อบ้านพร้อมเฟอร์นิเจอร์ แนะนำให้เลือกบ้านที่ติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเครื่องหมายรับรองว่าประหยัดไฟ หรือฉลากเบอร์ 5 เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานหรือเจ้าของบ้านประหยัดรายจ่ายค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย
เมื่อพูดถึงอุปกรณ์ประหยัดพลังงานภายในตัวบ้านกันไปแล้ว ก็ต้องตรวจสอบหลังคาว่ามีการติดตั้งฉนวนกันความร้อนหรือไม่ ใช้วัสดุประเภทไหน โดยส่วนใหญ่จะนิยมใช้ฉนวนใยแก้วที่มีความหนาอย่างน้อย 3 นิ้ว ติดตั้งใต้หลังคาหรือเหนือฝ้าเพดาน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สามารถป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้เป็นอย่างดี
___________________________________________
5. องค์ประกอบของบ้าน
ห้องที่ใช้เป็นที่พักอาศัย ห้องนอน ห้องนั่งเล่น โดยทั่วไปจะนิยมให้มีระยะห่างระหว่างพื้นถึงฝ้าสูงประมาณ 2.5 2.8 เมตร เป็นระยะที่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย ภายใต้บรรยากาศที่ไม่อึดอัด แต่ถ้าหากเจ้าของบ้านท่านใดต้องการให้บ้านมีความโปร่งโล่ง สามารถเลือกบ้านที่มีระยะดิ่งจากพื้นถึงฝ้าประมาณ 2.8 3.2 เมตร
Double Space หรือการเชื่อมพื้นที่ในแนวดิ่งที่มีความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานมากกว่าปกติ เป็นพื้นที่เปิดโล่งแบบฝ้าเพดานสูง ช่วยทำให้บ้านดูปลอดโปร่ง ส่วนมากใช้เป็นพื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร เป็นต้น ซึ่งความสูงของ Double Space ควรมีระยะดิ่งไม่น้อยกว่า 2.60 เมตร (ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 เรื่อง พื้นที่ภายในอาคาร ข้อที่ 22 เกี่ยวกับระยะดิ่ง) หากมีความต้องการเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างชั้นที่ 1 กับชั้นที่ 2 ควรมีความสูงอยู่ที่ 5-8 เมตร
ตรวจสอบความปลอดภัยในการใช้งานบันไดที่บ้าน บันไดทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ชั้นบนกับพื้นที่ชั้นล่างของบ้าน ซึ่งแต่ละครอบครัวก็ประกอบด้วยสมาชิกที่มีหลากหลายช่วงอายุ การคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงมากกว่าความสวยงาม ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ข้อ 23 ซึ่งกำหนดบันไดให้มีความกว้างไม่ต่ำกว่า 80 เซนติเมตร ช่วงหนึ่งสูงไม่เกิน 3 เมตร ลูกตั้ง (ความสูงของชั้นบันได) ไม่ควรสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร ส่วนลูกนอน (ความกว้างของพื้นบันได) ต้องออกแบบให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร โดยทั่วไปแล้วจะนิยมออกแบบให้บันได
___________________________________________
เนื่องจากราคาบ้านในปัจจุบันที่สูงขึ้นตามฟังก์ชันและความทันสมัย ส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้เงินสดแต่เลือกกู้ซื้อบ้านกับทางธนาคารแทน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ตัวเองได้มีเวลาจัดสรรการใช้เงินที่ต้องผ่อนชำระเป็นเวลานาน ดังนั้น การพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ก่อน เลือกซื้อบ้าน จึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรให้เวลาตัวเองได้ศึกษาหาข้อมูล นำบ้านแต่ละหลังมาเปรียบเทียบกับ 5 สิ่งที่ได้ทราบกันไป ไม่ว่าจะเป็นทำเล พื้นที่ใช้สอย ทิศทางการวางตัวบ้าน เทคโนโลยี-อุปกรณ์ภายในบ้าน หรือแม้กระทั่งองค์ประกอบโดยรวมของบ้าน ว่าทั้งหมดนี้ มีบ้านหลังไหนที่ออกแบบสไตล์ ดีไซน์และการตกแต่งที่ตรงใจกับความต้องการ สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับสมาชิกในครอบครัวได้บ้าง เพียงเท่านี้ก็รับรองได้ว่าคุณจะได้บ้านที่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปอย่างแน่นอน
___________________________________________
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก สาระอสังหา
___________________________________________
5 ปัจจัยในการเลือกซื้อบ้าน มีดังต่อไปนี้?
.
1. ทำเลบ้าน ที่ตั้งโครงการบ้าน
จากผลสำรวจพบกว่า ผู้คนส่วนใหญ่กว่า 83% เลือกทำเลเป็นปัจจัยหลักในการซื้อบ้าน รองลงมา 65% เป็นผู้คนที่ให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัย สุดท้ายคือกลุ่มคนจำนวน 62% ที่มองถึงความสำคัญด้านการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าใครจะมีความต้องการหรือมองปัจจัยใดเป็นอันดับแรก แต่การเลือกซื้อบ้านสักหลัง ถ้าหากสามารถเลือกทำเลที่มีทั้งความปลอดภัยและความสะดวกสบายต่อการใช้ชีวิตในคราเดียวกันได้นั้นก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี เช่น ทำเลที่ ใกล้แหล่งสาธารณูปโภคต่าง ๆ ใกล้โรงเรียนบุตรหลานและทางที่ดีควรใกล้ที่ทำงานด้วย
ดังนั้น ผู้ที่กำลังวางแผนซื้อบ้านก็ควรให้ความสำคัญกับหลาย ๆ ปัจจัย นำทำเลบ้านแต่ละหลังมาเปรียบเทียบเพื่อผลลัพธ์ในการเลือกซื้อบ้านที่เป็นไปอย่างที่คุณต้องการ
___________________________________________
2. ขนาดพื้นที่ใช้สอย
การเลือกซื้อบ้านแต่ละหลังก็ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่น้อยกว่าการคัดสรรทำเล คือ ขนาดของพื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่จำนวนห้องนอนที่มีเพียงพอตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมาชิกและช่วงอายุที่ต้องการความเป็นส่วนตัวของคนในครอบครัวหรือไม่ ทั้งยังมีอีกหลาย ๆ ส่วนที่ต้องพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นจำนวนห้องน้ำ พื้นที่สำหรับจอดรถยนต์ จากนั้นจึงพิจารณาส่วนกลางและพื้นที่อื่น ๆ ที่ควรมีเผื่อไว้ในกรณีที่ต้องการเลี้ยงสัตว์ ทำสวน ปลูกต้นไม้ด้วย
แต่ถ้าหากใครที่ไม่ชอบการปลูกต้นไม้ ก็อาจให้ความสำคัญกับพื้นที่ภายในบ้านเป็นอันดับแรก โดยจำนวนห้องและพื้นที่ต่าง ๆ ก็ควรมีความสัมพันธ์กับขนาดที่ดินและความกว้างของตัวบ้านอย่างพอดี ไม่กว้างจนเกินไปและไม่แคบจนทำให้รู้สึกอึดอัด
___________________________________________
3. ทิศทางการวางตัวบ้าน ทิศทางลม และทิศทางแสง
ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทย โดยปกติพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกและตกในทิศตะวันตก ดังนั้น ในช่วงเวลากลางวันทิศใต้และทิศตะวันตกจะเป็นทิศที่ได้รับแสงแดดเยอะ ทิศตะวันออกเป็นทิศที่รับแสงแดดช่วงเช้าส่งผลให้มีความร้อนน้อยกว่า ส่วนทิศเหนือจะได้รับแสงแดดน้อยที่สุด การกำหนดตำแหน่งของห้องจึงควรนำทิศทางของแสงมาพิจารณาเพื่อความเหมาะสม เช่น ทิศตะวันตกและทิศใต้ในช่วงเย็น-กลางคืนจะมีความร้อนสะสมสูง จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นห้องนอน แต่ควรใช้เป็นห้องน้ำ ห้องเก็บของหรือโรงจอดรถยนต์แทน
ตำแหน่งของทิศทางลมที่พัดประจำมีอยู่สองทิศ คือ ลมมรสุมช่วงเดือนกุมภาพันธ์-กันยายนที่พัดมาจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนลมมรสุมเดือนตุลมคม-มกราคาจะพัดจากทิศจะวันออกเฉียงเหนือและทิศเหนือ ซึ่งเจ้าของบ้านสามารถพิจารณาเลือกซื้อบ้านที่ออกแบบให้มีช่องลมที่ผนังฝั่งทิศใต้และเหนือ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นช่องทางรับลมธรรมชาติให้สามารถพัดผ่านเข้ามาระบายอากาศภายในตัวบ้านได้นั่นเอง
___________________________________________
4. เทคโนโลยีบ้านประหยัดพลังงาน
บ้านที่ถูกออกแบบมาให้มีความทันสมัยก็ควรเลือกใช้อุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดพลังงานด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นการคำนึงถึงราคาพลังงานในอนาคตที่อาจจะสูงขึ้น และยังช่วยให้เจ้าของบ้านได้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงอีกด้วย ซึ่งวิธีประหยัดพลังงานนั้นแนะนำให้พิจารณาในส่วนของอุปกรณ์ประหยัดไฟ เลือกใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน เช่น หลอดไฟแอลอีดี (LED) และหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent) เป็นต้น
และถ้าหากใครที่ต้องการซื้อบ้านพร้อมเฟอร์นิเจอร์ แนะนำให้เลือกบ้านที่ติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเครื่องหมายรับรองว่าประหยัดไฟ หรือฉลากเบอร์ 5 เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานหรือเจ้าของบ้านประหยัดรายจ่ายค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย
เมื่อพูดถึงอุปกรณ์ประหยัดพลังงานภายในตัวบ้านกันไปแล้ว ก็ต้องตรวจสอบหลังคาว่ามีการติดตั้งฉนวนกันความร้อนหรือไม่ ใช้วัสดุประเภทไหน โดยส่วนใหญ่จะนิยมใช้ฉนวนใยแก้วที่มีความหนาอย่างน้อย 3 นิ้ว ติดตั้งใต้หลังคาหรือเหนือฝ้าเพดาน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สามารถป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้เป็นอย่างดี
___________________________________________
5. องค์ประกอบของบ้าน
ห้องที่ใช้เป็นที่พักอาศัย ห้องนอน ห้องนั่งเล่น โดยทั่วไปจะนิยมให้มีระยะห่างระหว่างพื้นถึงฝ้าสูงประมาณ 2.5 2.8 เมตร เป็นระยะที่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย ภายใต้บรรยากาศที่ไม่อึดอัด แต่ถ้าหากเจ้าของบ้านท่านใดต้องการให้บ้านมีความโปร่งโล่ง สามารถเลือกบ้านที่มีระยะดิ่งจากพื้นถึงฝ้าประมาณ 2.8 3.2 เมตร
Double Space หรือการเชื่อมพื้นที่ในแนวดิ่งที่มีความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานมากกว่าปกติ เป็นพื้นที่เปิดโล่งแบบฝ้าเพดานสูง ช่วยทำให้บ้านดูปลอดโปร่ง ส่วนมากใช้เป็นพื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร เป็นต้น ซึ่งความสูงของ Double Space ควรมีระยะดิ่งไม่น้อยกว่า 2.60 เมตร (ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 เรื่อง พื้นที่ภายในอาคาร ข้อที่ 22 เกี่ยวกับระยะดิ่ง) หากมีความต้องการเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างชั้นที่ 1 กับชั้นที่ 2 ควรมีความสูงอยู่ที่ 5-8 เมตร
ตรวจสอบความปลอดภัยในการใช้งานบันไดที่บ้าน บันไดทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ชั้นบนกับพื้นที่ชั้นล่างของบ้าน ซึ่งแต่ละครอบครัวก็ประกอบด้วยสมาชิกที่มีหลากหลายช่วงอายุ การคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงมากกว่าความสวยงาม ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ข้อ 23 ซึ่งกำหนดบันไดให้มีความกว้างไม่ต่ำกว่า 80 เซนติเมตร ช่วงหนึ่งสูงไม่เกิน 3 เมตร ลูกตั้ง (ความสูงของชั้นบันได) ไม่ควรสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร ส่วนลูกนอน (ความกว้างของพื้นบันได) ต้องออกแบบให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร โดยทั่วไปแล้วจะนิยมออกแบบให้บันได
___________________________________________
เนื่องจากราคาบ้านในปัจจุบันที่สูงขึ้นตามฟังก์ชันและความทันสมัย ส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้เงินสดแต่เลือกกู้ซื้อบ้านกับทางธนาคารแทน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ตัวเองได้มีเวลาจัดสรรการใช้เงินที่ต้องผ่อนชำระเป็นเวลานาน ดังนั้น การพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ก่อน เลือกซื้อบ้าน จึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรให้เวลาตัวเองได้ศึกษาหาข้อมูล นำบ้านแต่ละหลังมาเปรียบเทียบกับ 5 สิ่งที่ได้ทราบกันไป ไม่ว่าจะเป็นทำเล พื้นที่ใช้สอย ทิศทางการวางตัวบ้าน เทคโนโลยี-อุปกรณ์ภายในบ้าน หรือแม้กระทั่งองค์ประกอบโดยรวมของบ้าน ว่าทั้งหมดนี้ มีบ้านหลังไหนที่ออกแบบสไตล์ ดีไซน์และการตกแต่งที่ตรงใจกับความต้องการ สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับสมาชิกในครอบครัวได้บ้าง เพียงเท่านี้ก็รับรองได้ว่าคุณจะได้บ้านที่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปอย่างแน่นอน
___________________________________________
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก สาระอสังหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
10 มี.ค. 2025
9 มี.ค. 2025
8 มี.ค. 2025